วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561

2. ประสบการณ์จากจอมบึงมาราธอน ครั้งที่ 33


ผมเพิ่งวิ่งออกกำลังกาย และฝึกวิ่งระยะไกลประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา จากคนที่เกลียดการวิ่งที่สุดเพราะมันเหนื่อยมาก ก็ค่อยๆพยายามวิ่งเอาระยะทาง ไม่เน้นความเร็ว จนอยากลองไปร่วมงานวิ่งกับคนอื่นๆบ้าง เก็บความรู้สึกที่ไม่ใช่การวิ่งตามลำพังกับความคิดของตัวเอง ขอแค่วิ่งครบระยะทาง ไม่ถูก cut off ก็พอแล้วครับ

ภาพนี้เมื่อลงวิ่ง 5 ก.ม. เป็นงานของที่ทำงานจัดที่สวนลุม ปีพ.ศ.2559 ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ดูกางเกงนักวิ่งสิครับ ยังกะพวกลูกประดู่ซ้อมวิ่ง

ผ่านมาปีกว่าก็ยังวิ่งช้าเหมือนเดิม เคยทำเวลาดีที่สุดสำหรับระยะ 5 ก.ม. เมื่อ 12 มกราคมปีนี้ แต่โดยเฉลี่ยแล้วก็ประมาณเกือบ 50 นาที




   ในสังคมนักวิ่งระยะไกลหรือวิ่งมาราธอนเขากล่าวขานกันว่า ต้องไปวิ่งงานจอมบึงมาราธอนให้ได้สักครั้ง จนไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ งานจอมบึงมาราธอนมีผู้สมัครจำนวนมาก จนต้องจับฉลากผู้สมัครที่จะมีสิทธิ์ไปวิ่ง ผมลองสมัครไปวิ่งครั้งล่าสุดที่ผ่านมาและได้โควตาไปร่วมวิ่งในระยะฮาล์ฟมาราธอน 21.1 ก.ม. จึงเริ่มฝึกซ้อมจริงจังด้วยตารางวิ่ง 47 วันของครูดิน ผมพยายามซ้อมตามตารางของครู แต่ต้องปรับให้เหมาะกับการทำงานบ้าง และขยายเวลาไป 76 วัน จนถึงวันวิ่งจริงที่จอมบึง แต่ผลลัพธ์จากฝึกซ้อมตามตารางของครูดิน ก็ทำให้ผมมีความมั่นใจมากขึ้น วิ่งได้ดีขึ้นจริงๆ จากที่เคยลองวิ่ง 21 k.ครั้งแรกๆ ใช้เวลาเกือบสี่ขั่วโมง ก็สามารถลดเวลาไปได้ราวครึ่งชั่วโมง


   ผมขับรถจากบ้านไปดูสถานที่จัดงานวิ่ง และหาที่พัก ระยะทางกว่าสามร้อยกิโลเมตร ถึงสามครั้ง เพราะโรงแรม รีสอร์ทต่างๆในเขตจังหวัดราชบุรีจะเต็มหมดในวันที่มีการวิ่งมาราธอน ด้วยการจองล่วงหน้าแทบจะข้ามปีกันทีเดียว ผมพยายามจะดูว่าจะขับรถไปจอดแล้วไปวิ่งเลยได้อย่างไร จะกินจะอยู่อย่างไรในวันเสาร์ก่อนที่จะวิ่งวันอาทิตย์

   แม้จะได้ยินมาว่ามีหลายๆคนกางเต็นท์นอนในสนาม ภายในสถาบันราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง หรือนอนตามอาคารเรียนกัน แต่ด้วยความที่ผมเดินทางไปวิ่งลำพังคนเดียว จึงรู้สึกวิตกกับความสะดวกของการใช้ห้องน้ำห้องส้วมพอสมควร กับการคะเนถึงจำนวนคนมากมายที่จะต้องรอใช้ห้องส้วมในเวลาเร่งรีบ สุดท้ายผมติดต่อห้องพักรายวันใกล้กับรภ.จอมบึง 1 ก.ม. แต่ต้องขนที่นอนไปเอง เขามีแต่ห้องโล่งๆ พัดลม 1 ตัว แต่ผมก็สบายใจกับห้องน้ำในตัวและระยะทางที่จะเดินเท้าไปยังจุดปล่อยตัวได้ง่ายๆ แค่เริ่มสมัครจะไปวิ่งงานจอมบึงฯก็ไม่ง่ายแล้วครับ เลือกเอาว่าจะจองที่พักแบบถูกใจใช่เลย ก่อนได้สิทธิ์ไปวิ่ง หรือรอได้สิทธิ์ก่อนแล้วค่อยหาที่พัก ถ้าเลือกแบบหลังก็คงจะเป็นแบบผมนี่แหละ


อันนี้เป็นที่พักเคลื่อนที่แบบพิเศษ ดูตัวหนังสือด้านข้าง จำได้ว่าเคยเห็นในอินเตอร์เน็ต คงจะบริการสำหรับสมาชิกของเขา

    ผมขับรถไปถึงที่พักที่โทรฯไปจองไว้ล่วงหน้าเป็นเดือนราวบ่ายสาม คิดว่าเข้าจอดแล้วก็ฝังตัวเลยครับ ไม่ต้องขับออกไปไหนต่อ เพราะดูแล้วการจราจรเริ่มคับคั่ง รถยนต์จอดตามถนนในรภ.จอมบึงเต็มไปหมด บริเวณใกล้กับถ้าจอมพลระหว่างหอพักที่ผมอยู่กับรภ.จอมบึง มีฝูงลิงหากินแถวนั้น พวกมันปีนป่ายขึ้นไปนั่งเล่นบนหลังคารถหลายตัว ผมคิดว่าที่รถยนต์เข้ามาจอดในรภ.จอมบึงมากมาย น่าจะเป็นเพราะมารับเสื้อและเบอร์วิ่งกันหรือเปล่า ส่วนผมเองเลือกสมัครแบบให้จัดส่งทางไปรษณีย์ครับ ที่กล่าวแบบนี้เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นตอนผมเดินมาวิ่งตามเส้นทางเดิม เห็นที่ว่างเยอะพอสมควร หรืออาจจะเป็นเพราะขับเข้ามาอีกไม่ได้ เนื่องจากเขาปิดถนนตั้งแต่แยกไฟแดงก่อนถึงรภ.จอมบึงตั้งแต่ตีสาม คนที่พักไกลๆจะต้องขับรถไปจอดตามจุดที่ผู้จัดงานเตรียมไว้ หากมาหลังช่วงปิดถนนแล้ว




    เย็นวันเสาร์ผมเดินไปดูบรรยากาศในงาน ก็คึกคักดีครับ เริ่มมีน้องๆนักศึกษามาร้องเพลงเชียร์กันบ้างแล้ว นักวิ่งและผู้ติดตามเดินกันขวักไขว่ สังเกตว่าคนไหนเป็นนักวิ่งได้ไม่ยาก โดยดูจากเสื้อที่พวกเขาสวมใส่ มักจะมีรูปแบบหรือตัวหนังสือที่บ่งบอกประสบการณ์ผ่านการวิ่งสนามไหนมาแล้ว ระดับ Finisher 42.195 k.ก็น่าภูมิใจไม่น้อย ผมยังฝันจะไปให้ถึงสักวัน


   สมกับที่เป็นงานวิ่งระดับที่นักวื่งกล่าวขวัญกันครับ บรรยากาศเป็นมหกรรมหรือ Festival ของงานวิ่งมาราธอนจริงๆ มีร้านค้าอุปกรณ์การวิ่งมาขายหลายเจ้า ผมลองซื้อเจลให้พลังงานมาห้าซอง กะว่าเอาไว้กินระหว่างวิ่งสักสองซองตามสูตรที่นักวิ่งบางท่านแนะนำเรื่องการเตรียมตัววิ่งฮาล์ฟมาราธอนในเ You Tube เย็นวันนี้เขามีการวิ่งแข่งของเด็กๆด้วย น่าจะเป็นระยะ 3 ก.ม. เด็กๆพวกนี้พละกำลังดีมาก วิ่งกันเร็วๆทั้งนั้น
    ภายในหอประชุมเป็นที่รับเบอร์วิ่ง และมีบูธขายเสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์เกี่ยวกับวิ่ง และเครื่องดื่มสำหรับนักวิ่งครับ พรุ่งนี้สถานที่นี้จะใช้เป็นที่มอบถ้วยรางวัลสำหรับนักวิ่งแถวหน้า และมีถ้วยพระราชทานสำหรับผู้ชนะเลิศแต่ละประเภทด้วย

   ที่จุดปล่อยตัวนักวิ่งจะแบ่งพื้นที่เป็นบล็อก A ถึง E ตามความสามารถในการวิ่งของผู้สมัคร คนที่คิดว่าตัวเองวิ่งเร็ว ใช้เวลาน้อย ก็เลือกอยู่ในกลุ่มต้นๆ หรือเข้าจุดปล่อยตัวที่โซน A ผมเองคิดว่าน่าจะจบฮาล์ฟมาราธอนด้วยเวลาประมาณ 4 ช.ม. จึงขออยู่ที่โซน E ท้ายสุดเลยครับ จากจุดนี้มองไปเห็นโซน A ลิบๆที่หลอดไฟสีขาวโน่น
 
เย็นวันเสาร์ผมเดินเท้าจากที่พักไปบริเวณที่จัดงานสองรอบ รวมระยะทางราวๆ 5 ก.ม. ถือว่าเป็นการวอร์มขาก่อนวิ่งวันพรุ่งนี้ แวะกินก๋วยเต๋ยว 1 ชามและข้าวผัดกะเพรา ไข่ดาว อย่างละหนึง ต่อรอบ ที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้ที่พัก ผมเดินดูร้านอาหารใกล้กับที่จัดงานในรภ.จอมบึง ในช่วงโพล้เพล้ใกล้ค่ำแล้ว มองไม่ค่อยเห็น จึงไม่ได้ลองชิม กะว่าจะหาครีมทาขา กับเครื่องดื่มเกลือแร่ไว้กินบ้าง ก็ขี้เกียจเดินออกไปถึงย่านตลาดปากทางเข้ารภ.จอมบึงนู่น จึงได้ขนมกินเล่นไม่กี่อย่างกับน้ำดื่มจากร้านขายอาหารตามสั่งที่ผมกินมื้อเย็นนั่น

  เช้าวันอาทิตย์ ผมเดินเท้าจากที่พักต้งแต่ตีสี่ไปยังจุดปล่อยตัวเป็นการวอร์มอัพไปในตัว 1 ก.ม. แล้วไปทำ Dynamic Stretching อีกนิดหน่อย รอปล่อยตัวตอนตีห้าครึ่ง ซึ่งนักวิ่งระยะมาราธอนปล่อยตัวไปก่อนแล้วตั้งแต่ตีห้า  ปีนี้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้เสด็จร่วมแข่งขันวิ่งฮาล์ฟมาราธอนด้วยครับ
ผมวิ่งครั้งนี้ต้องแวะเข้าห้องน้ำถึงสองครั้ง ออกจากจุด Start ไปไม่เท่าไหร่ก็แวะเข้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง นับว่าเป็นจุดที่สะดวกที่สุดแล้วครับ แต่สำหรับนักวิ่งผู้หญิงก็ยังต้องต่อแถวกันบ้าง ไม่รู้ว่าผมดื่มน้ำมากเกินไปหรือว่าตื่นเต้นกับการวิ่งระยะนี้เป็นการเป็นงานครั้งแรกก็ไม่รู้ ก่อนวิ่งก็ไปเข้าแถวถ่ายเบาที่ห้องสุขาข้างหอประชุมในรภ.จอมบึงทีนึงแล้ว กะว่าจะปล่อยอีกทีก่อนปล่อยตัว แต่ต่อแถวคนเข้าห้องน้ำไม่ไหว เลยไปหาที่ปล่อยเอาข้างหน้า แต่ก็ยังรักษามารยาทไว้อย่างดี ไม่เคยปล่อยเรี่ยราดข้างทางนะครับ จุดที่สองผมแวะเข้ารถสุขาเคลื่อนที่ช่วงสิบกิโลเมตรกว่าๆ ตอนซ้อมวิ่งที่บ้านก็ไม่เคยปวดฉี่กลางทางเลยนะครับ

ขอขอบคุณภาพจากตากล้องทุกๆท่านที่ขอหยิบยืมภาพมาประกอบนะครับ

  ในที่สุดผมก็จบการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนด้วยเวลาสามชั่วโมงกว่าๆ ดีกว่าที่คิดไว้ ก็โอเคแล้วครับ รับเหรียญหลังเส้นชัย จับมือแสดงความยินดีกับนักวิ่งท่านอื่นๆบ้าง หาน้ำดื่ม ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ แล้วก็เดินกลับที่พัก ไปหาข้าวกินข้างนอก เพราะในงานคนเยอะมาก คิดว่าไม่ต่อแถวรอกินดีกว่า
 ก่อนปล่อยตัวนักวิ่งได้ยินคุณทนงศักดิ์ ดารานักวิ่งรุ่นใหญ่ ที่มาเป็นพิธีกรงานนี้บอกว่าหลังเข้าเส้นชัยจะมีเซอร์ไพรส์  รับเหรียญมาแล้วสักพัก จึงนึกขึ้นได้ ที่แกว่าเซอร์ไพรส์คงเป็นเหรียญที่ได้รับมาสองอันนี้เอง เหรียญเซรามิครูปโอ่งคงจะเป็นเหรียญดั้งเดิมที่ผู้จัดงานทำไว้มอบให้นักวิ่งหลังเข้าเส้นชัย แต่ผมเห็นเว็บไซต์หนึ่งมีการเชิญชวนให้นักวิ่งมาลงความเห็นทักท้วงขอเหรียญที่เป็นโลหะแบบที่เคยให้ครั้งก่อนๆ ไม่อยากได้เหรียญเซรามิคกัน ก็ต้องนึกชมทีมงานจอมบึงมาราธอนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเหรียญรางวัลนะครับ ว่าใส่ใจกับความรู้สึกของนักวิ่งอย่างมาก เพราะในที่สุดเขาก็ทำเหรียญโลหะเพิ่มให้อีกเหรียญ สมใจผู้รับถ้วนหน้า
สรุปความคิดเห็นส่วนตัวที่มีต่อจอมบึงมาราธอนครั้งที่ 33

ผมชอบบรรยากาศของงาน โดยเฉพาะกองเชียร์ตลอดเส้นทางวิ่งที่ทำให้การวิ่งสนุกสนาน และน้ำดื่มสำหรับนักวิ่งที่มีเหลือเฟือ แทบจะทุกกิโลเมตรทีเดียว ความร่วมมือร่วมใจของชาวจอมบึงในการปิดถนนเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักวิ่งทำได้เกือบ 100%  ผมคิดว่านักวิ่งทุกคนบนเส้นทางจอมบึงมาราธอนไม่ว่าจะวิ่งระยะไหนก็ตาม น่าจะรู้สึกเบิกบาน แม้จะเหนื่อยกายก็ตาม รอยยิ้ม การให้กำลังใจ การส่งเสียงเชียร์ซึ่งกันและกันเป็นความประทับใจที่หาไม่ได้ง่ายจากสนามวิ่งอื่นๆ ส่วนหนึ่งคงมาจากจำนวนนักวิ่งนับหมื่นร่วมเส้นทาง ที่ย่อมจะมีนักวิ่งใจดี ประสบการณ์มาก เอื้อเฟื้อต่อสังคมนักวิ่งอยู่มาก




กองเชียร์และนักวิ่งที่มาร่วมวงหลังวิ่งเสร็จแล้ว

ภาพกองเชียร์ต่อไปนี้ขออนุญาตนำภาพของตากล้องในงานมาแบ่งปันนะครับ ขอบคุณเจ้าของภาพด้วยครับ

ภาพจากครูแสง Pat Running ครับ ดูความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านสิครับ เกินร้อย%



มีพระพรมน้ำมนต์ให้ระหว่างทางด้วยครับ ทึ่ง!



ผมชอบภาพนักวิ่งท่านนี้ เห็นจากเว็บ Shutter Running แกวิ่งในชุดนอน และไม่สวมรองเท้าด้วย (นักวิ่งบางท่านแสดงทรรศนะว่าวิ่งเท้าเปล่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่ผ่านการซ้อมมาอย่างดี หนังเท้าบางๆคงจะพุพอง) นักวิ่งท่านนี้ดูแล้วอายุคงพอสมควร แต่ดูจากป้าย BIBแล้ว แกวิ่งระยะมาราธอนนะครับ สุดยอดดดดด...

และผมไปเจอภาพนี้อีกครั้ง หลังจากงานจอมบึงฯ 1 สัปดาห์ ช่างภาพเก็บภาพมาจากงานวิ่งขอนแก่นมาราธอนครับ โอ้ว.... Very Strong
ผมคิดว่าถ้าเราไม่ใช่นักวิ่งแถวหน้า หวังถ้วยรางวัล ก็น่าจะมาวิ่งจอมบึงฯแบบพักเรื่องสถิติเวลา ความเร็วในการเข้าเส้นชัยไว้ก่อน หันมาร่วมสร้างมหกรรมวิ่งที่งดงามน่าประทับใจกันดีกว่า ซึมซับความสนุกสนาน น้ำใจไมตรี แบ่งปันกันดีกว่า ผมได้ยินคุณลุงท่านหนึ่งที่วิ่งใกล้ๆกัน คุยกับนักวิ่งอีกท่านว่า “ไม่ต้องรีบ วิ่งจบเร็ว เดี๋ยวไม่คุ้ม” เออ...ท่าจะจริงของแกแฮะ ระหว่างทางผมได้พบกับน้องคนหนึ่งที่เป็นนักเรียนเก่าจากโรงเรียนเดียวกัน โดยผมรู้จากเสื้อที่เธอสวมใส่  เราคุยกันได้ไม่นาน ผมก็ชิงวิ่งเลยต่อไป ถ้าผมไม่ห่วงเรื่องการพยายามทำเวลาของการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนแรกของผม ผมคงมีโอกาสได้เป็นสมาชิกชมรมวิ่งของ”คณะเรา”บ้าง เสียดายที่ผมลืมคิดถึงเรื่องนี้




ส่วนที่ไม่ชอบก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆของงานและในพื้นที่ ยังรองรับผู้คนเป็นหมื่นแบบนี้ไม่ไหว และการประชาสัมพันธ์ การให้ข้อมูลผู้สมัครยังไม่ Update หรือควรมีหลายช่องทาง โดยเฉพาะเว็บไซต์ของจอมบึงมาราธอนเองที่แทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวของข้อมูลเลย อย่างไรเสียผมก็ยังอยากเห็นผู้คนให้ความสนใจกับการวิ่งมากๆแบบนี้ไปอีกนานๆ ไม่ใช่เฉพาะที่จอมบึงนะครับ ดีกว่าจัดงานวิ่งแล้วมีผู้สมัครกันไม่ถึงเป้า พลังมวลชนที่รวมกันมากๆถ้าสร้างสรรเรื่องราวดีๆ ก็ทำได้ไม่ยากหรอกครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น